รู้หรือไม่ ทำไมในอดีตถึงมีการ “ล่าวาฬ” ไปมากกว่า 8,000 ตัวต่อปี

ในปัจจุบันการล่าวาฬนั้นถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายเพราะเนื่องจากจำนวนของพวกมันลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่รู้หรือไม่ว่าทำไมในสมัยอดีตการล่าวาฬนั้นถึงเป็นที่นิยม

ในช่วงกลางปี ​​ค.ศ. 1800 ลูกเรือชื่อชาร์ลส นอร์ดฮอฟ (Charles Nordhoff) พบว่าตัวเองอยู่บนดาดฟ้าเรือ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีไขมันของวาฬเปียกโชกเสื้อและกางเกง รูขุมขนของผิวหนังดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมัน เท้า มือ และผมเต็มไปหมด เขาได้เขียนเล่าในภายในหนังสือตามประสบการณ์ของเขา ภาพที่น่าสยดสยองนี้เป็นจริงทุกวันสำหรับชาวประมงในยุคนั้น แต่น้ำมันที่เคลือบร่างกายของพวกเขาอย่างไม่สบายตัวนั้นก็เป็นตั๋วสู่โชคลาภของพวกเขาเช่นกัน

การแสวงหาสิ่งนี้ได้ส่งลูกเรือหลายหมื่นคนไปไล่ตามวาฬที่เป็นอันตรายระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึง 20 ทว่าการจับวาฬเป็นมากกว่าการหาน้ำมันวาฬ (Whale Oil) เพียงอย่างเดียว ร่างกายขนาดมหึมาของพวกมันเป็นขุมสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อผู้คนในศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งจุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็เพื่อให้มีวิถีชีวิตที่สะดวกสบาย ประณีต และสง่างาม ซึ่งดูขัดแย้งกับฉากการเดินเรือที่น่าสยดสยองเพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษเหล่านั้น อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตนี้เกิดขึ้นจากความต้องการแสงสว่างในยามค่ำคืนของมนุษยชาติ และความจริงที่ว่าร่างกายของวาฬนั้นมีน้ำมันอยู่มากมายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตแสง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาฬสเปิร์ม (Sperm Whales) ที่น้ำมันของมันมีคุณภาพดีซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับประภาคารที่ให้แสงสว่างซึ่งสะดวกต่อการนำเรือล่าวาฬกลับบ้าน มันสำคัญมากสำหรับการทำงานทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการประมงวาฬสเปิร์มอย่างกว้างขวาง ประภาคารเหล่านี้ต้องถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องและน้ำมันวาฬสเปิร์มก็มีคุณภาพดีที่สามารถเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ทุกครั้ง ดังนั้นรัฐบาลจึงจะส่งผู้ตรวจสอบและผู้ซื้อไปที่ท่าเรือเพื่อซื้อน้ำมันวาฬสเปิร์ม

น้ำมันวาฬกลายเป็นสินค้าขายดีในยุคนั้น มันถูกใช้กับคนงานเหมืองและกลายเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับปืน นาฬิกา จักรเย็บผ้า และเครื่องพิมพ์ดีด ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันวาฬสเปิร์มสามารถทนต่ออุณหภูมิสูง ซึ่งนำไปสู่การใช้เป็นสารหล่อลื่นในเครื่องจักรที่เคลื่อนที่เร็ว น้ำมันวาฬถูกใช้เพื่อเป็นสารหล่อลื่นเกียร์ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยพื้นฐานไปแล้ว

แต่สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้นที่บรรจุอยู่ภายในโพรงหัวของวาฬสเปิร์มเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้งเหลวใสซึ่งถูกเรียกว่า สเปิร์มมาเซติ (Spermaceti) ซึ่งอาจจะเป็นส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตเสียงของวาฬและการหาตำแหน่งทางเสียงสะท้อน ซึ่งพวกมันก็จะมีราคาที่สูงกว่าน้ำมันวาฬทั่วไปมาก เนื่องจากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ไร้ควันและไม่มีกลิ่น

มีคนกล่าวว่า เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ชอบอ่านหนังสือด้วยแสงเทียนจากสเปิร์มมาเซติ ราคาเทียนสเปิร์มมาเซติก็มีราคาที่สูงขึ้น ทำให้พวกมันเป็นสัญลักษณ์ของสถานะความร่ำรวยในสังคมทั่วอเมริกาและยุโรปและยังถูกนำไปทำสบู่ด้วยเช่นกันและต่อมาในศตวรรษที่ 20 น้ำมันวาฬก็ถูกนำมาใช้ในการผลิตสินค้าที่บริโภคได้ เช่น มาการีน แม้ว่าน้ำมันวาฬจะเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในอุตสาหกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็มีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ได้จากวาฬเช่นกัน

บาลีน (Baleen) คือซี่กรองที่ประกอบด้วยแผ่นขนแปรงที่หนาแน่นและเป็นเส้นๆที่ห้อยลงมาจากขากรรไกรบนของวาฬบาลีนและสัตว์เหล่านี้ใช้ในการกรองสัตว์จำพวกครัสเตเชีย แพลงก์ตอน และปลาจากทะเล ในอุตสาหกรรมแฟชั่น แผ่นกระดูกที่ขนแปรงแขวนไว้นั้นเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความทนทานและความยืดหยุ่นที่จำเป็นต่อการสร้างห่วงกระโปรงทรงกลมและกระดูกที่มีโครงสร้างภายใน นั่นทำให้ผู้หญิงมีหุ่นนาฬิกาทรายที่ดูทันสมัยในขณะนั้น ใช้เป็นที่ใส่หมวกของผู้หญิง สำหรับบาลีนกลายเป็นตัวขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมการล่าวาฬไว้จนถึงปี ค.ศ. 1890 แผ่นเหล่านี้ยังถูกเปลี่ยนเป็นคันเบ็ดและหน้าไม้ พวกเขายังทำเป็นแส้และสปริงบนรถม้า บาลีนที่แข็งกระด้างยังถูกใช้ในสถานการณ์ทางการแพทย์สำหรับการรักษากระดูกหัก

แอมเบอร์กริส (Ambergris) สินค้าล้ำค่าอีกชนิดหนึ่งที่เป็นสารที่พบในลำไส้ของวาฬสเปิร์มที่เคยใช้ทำน้ำหอมและยังคงใช้ทำน้ำหอม รวมถึงน้ำหอมอันหรูหราอย่างชาเนลหมายเลข 5 (Chanel No.5)

ด้วยการเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทำให้มูลค่าการค้าของการล่าวาฬในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น ในปี ค.ศ. 1853 ซึ่งเป็นปีที่ทำกำไรได้มากที่สุดของอุตสาหกรรม กองเรือสังหารวาฬไปมากกว่า 8,000 ตัว เพื่อผลิตน้ำมันสเปิร์ม 103,000 บาร์เรล น้ำมันวาฬ 260,000 บาร์เรล และบาลีน 2.6 ล้านกิโลกรัม ซึ่งทั้งหมดสร้างรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท (11 ล้านดอลลาร์)

ในช่วงปลายทศวรรษ 1850 มีการค้นพบน้ำมันปิโตรเลียมในประเทศ และน้ำมันก๊าดเริ่มเข้ามาแทนที่น้ำมันวาฬที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง แต่การล่าวาฬยังคงมีความสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆเช่น แฟชั่น ซึ่งดำเนินไปจนเมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกแทนที่ด้วยวัสดุที่สามารถผลิตได้บนบกแทนที่จะถูกล่าในทะเล

ในช่วงทศวรรษ 1900 อุตสาหกรรมการล่าวาฬของอเมริกาถูกประเทศอื่นแซงหน้า ในช่วงเวลานี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการเดินเรือและการใช้ฉมวกที่มีเป็นกลไก ทำให้ประชากรของวาฬลดลงเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เกิดกฎระเบียบในการล่าวาฬทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และในทศวรรษต่อๆมา ประเทศต่างๆทั่วโลกต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ในการระงับการล่าวาฬเชิงพาณิชย์เพื่อที่จะรักษาประชากรของพวกมันให้คงอยู่ต่อไป

อ้างอิง: Livescience

One comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *