นี่คือ”ต้นอะคาเซีย”(เทเนเร่) ที่ขึ้นโดดเดี่ยวและตายลงจากการถูกคนขับรถชน

ในทะเลทรายนั้นไม่ได้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างโอเอซิส ซึ่งเป็นแหล่งน้ำและที่กำบังจากความร้อนที่แผดเผาของดวงอาทิตย์ แต่นี่เป็นต้นไม้ต้นเดียวสามารถอยู่รอดได้ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าได้เป็นเวลาหลายร้อยปี

รูปที่ 1. ต้นอะคาเซียหรือต้นไม้แห่งเทเนเร่ในปี ค.ศ. 1961 (อ้างอิง: Thetreeographer)

นี่คือต้นอะคาเซีย (Acacia Tree) หรือที่เป็นที่รู้จักในอีกชื่อคือต้นไม้แห่งเทเนเร่ (Tenere) ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นต้นไม้ที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก โดยตั้งอยู่ในทะเลทรายเทเนเร่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไนเจอร์ (Niger) และถึงแม้จะมีชื่อเสียงในด้านความโดดเดี่ยว แต่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของป่าที่ใหญ่มาก เมื่อหลายพันปีก่อนพื้นที่นี้น่าจะถูกปกคลุมด้วยป่าทั้งหมด เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและฝนตกน้อยลง จำนวนต้นไม้ก็ลดน้อยลง

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ต้นไม้ต้นเดียวในทะเลทราย แต่เป็นต้นไม้ต้นเดียวก็ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายในทุกทิศทุกทางเป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นลักษณะเด่นเพียงประการเดียวของภูมิประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นจุดสังเกตในท้องถิ่น ใช้เพื่อนำทางกองคาราวานและนักเดินทางเมื่อพวกเขาเดินทางที่อันตราย เป็นเวลาหลายร้อยปีที่พ่อค้านำอูฐบรรทุกเกลือ อินทผลัม และสินค้าอื่นๆ ผ่านทะเลทราย ทั้งหมดนี้หยุดอยู่ที่สถานที่แห่งนี้

รูปที่ 2. ต้นอะคาเซียหรือต้นไม้แห่งเทเนเร่ในปี ค.ศ. 1939 (อ้างอิง: Thetreeographer)

เมื่อผู้บัญชาการของภารกิจทางทหารของพันธมิตร มิเชล เลอซูร์ด (Michel Lesourd) เห็นต้นไม้นี้ในปี ค.ศ. 1939 เขารู้สึกประหลาดใจที่มีสิ่งใดที่สามารถดำรงชีวิตในสภาพเช่นนั้นได้ เราต้องเห็นต้นไม้นี้จึงจะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แล้วความลับของมันคืออะไร มันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ทั้งๆที่มีฝูงอูฐจำนวนมากเหยียบย่ำอยู่ข้างมัน อูฐที่หลงทางแต่ละตัวจะไม่กินใบไม้และหนามของมันได้อย่างไร ซึ่งคำตอบเดียวคือต้นไม้นี้เป็นสิ่งต้องห้ามและถูกมองว่าเป็นเช่นนี้โดยกองคาราวาน

มีความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่เป็นระเบียบแบบแผนของชนเผ่าที่เคารพนับถือและปฏิบัตเสมอมา โดยในแต่ละปีจะมีการนำดอกอะซาไล (Azalai) จะมารวมตัวกันรอบต้นไม้ก่อนที่จะถึงกับทางแยกของเทเนเร่ ต้นไม้ต้นนี้จึงกลายเป็นประภาคารที่มีชีวิต มิเชลผู้บัญชาการภารกิจทางทหารของพันธมิตรกล่าว

บทบาทของต้นไม้ในฐานะของประภาคารของทะเลทรายและจุดรวมพล ทำให้ในที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องขุดเจาะบ่อน้ำในปี ค.ศ. 1938 ขณะที่พวกเขาเจาะลึกลงเรื่อยๆเพื่อค้นหาแหล่งน้ำ พวกเขาก็ค้นพบว่าต้นไม้สามารถอยู่รอดได้อย่างไร ในหลายศตวรรษรากของมันคืบคลานและหยั่งลึกลงไปในดินถึง 35 เมตร เพื่อหาแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งต้นไม้ต้นนี้สูงเพียงไม่กี่เมตรและมีกิ่งก้านสาขาอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ยังคงยึดเกาะกับชีวิตเพื่อใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความยืดหยุ่นที่จำเป็นสำหรับชาวทะเลทรายที่ทรหดอดทนในการเอาชีวิตรอด

รูปที่ 3. เสาเหล็กที่ถูกทำมาแทนต้นไม้แห่งเทเนเร่ (อ้างอิง: Thetreeographer)

ถึงแม้มันจะสามารถเอาชีวิตรอดจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมาได้ แต่โชคไม่ดีในช่วงทศวรรษที่ 1940 เมื่อคนขับรถที่ประมาทชนเข้ากับต้นไม้ ทำให้ลำต้นที่เปราะบางหักหนึ่งในสองต้น จากนั้นคนขับก็น่าจะพยายามปกปิดสิ่งที่เขาทำ ต้นไม้ซึ่งมีความพิเศษมากสำหรับชาวบ้านได้รับความเสียหายอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่มันก็สามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้

แต่โชคร้ายยังไม่จบในปี ค.ศ. 1973 คนขับรถบรรทุกชาวลิเบียได้ขับรถชนเข้ากับลำต้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ หักครึ่งท่อนและต้นไม้ก็หักโค่นลงมา มีการคาดเดาว่าคนขับเมาสุรา แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง บางทีเขาอาจจะในหลับหรือจู่ๆก็มีฝุ่นผงบดบังการมองเห็นของเขา ไม่ว่าในกรณีใด หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ต้นไม้ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเครือญาติอื่นๆของมัน

ซากของต้นไม้ถูกนำไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไนเจอร์ในนีอาเมในปีต่อมา และมีการสร้างเครื่องบรรณาการในที่ของต้นไม้ อนุสาวรีย์นี้สร้างจากเศษโลหะหรือเสาเหล็กและไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นไม้ดั้งเดิม ดูเหมือนเสาอากาศมากกว่าต้นไม้ แต่อย่างน้อยก็เป็นอะไรบางอย่าง หนึ่งปีหลังจากการตายของต้นไม้ สาธารณรัฐไนเจอร์ได้เผยแพร่แสตมป์ที่ระลึกพร้อมรูปถ่ายของต้นไม้ในตำนาน

รูปที่ 4. เทศกาลเบรินนิ่งแมนประจำปี ค.ศ. 2017 (อ้างอิง: Thetreeographer)

ในเทศกาลเบรินนิ่งแมน (Burning Man) ประจำปี ค.ศ. 2017 ได้มีการสร้างต้นไม้เพื่อรำลึกถึงต้นไม้แห่งเทเนเร่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเงินบริจาคหลายร้อยรายการจากทั่วโลก การติดตั้งสูงสามชั้นมีใบไม้ประดับไฟ LED มากกว่า 25,000 ใบ ที่สว่างขึ้นโดยประสานกับเสียงดนตรีและการเคลื่อนไหว แม้ว่าต้นไม้จะตายไปแล้วกว่า 50 ปี แต่ตำนานยังคงอยู่จากความสามารถในการอยู่รอดอย่างไม่น่าเชื่อของต้นไม้ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

อ้างอิง: Thetreeographer

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *