นี่คือ “ถ้ำเซินด่อง” เป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ในอดีตมนุษย์ในยุคโบราณมักอาศัยอยู่ในถ้ำ ซึ่งได้มีหลักฐานต่างๆว่าเคยมีการอาศัยอยู่ แต่ในปัจจุบันถ้ำส่วนใหญ่ที่ค้นพบนั้น จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า

รูปที่ 1. ถ้ำเซินด่อง (อ้างอิง: Lonelyplanet)

นี่คือถ้ำเซินด่อง (Son Doong Cave) ที่เป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นถ้ำบนภูเขาในเวียดนาม ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากจากการค้นพบที่น่าทึ่งของอุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมกับถ้ำอีกแห่ง ซึ่งการค้นพบนี้มีขึ้นในเดือนเมษายนโดยนักดำน้ำชาวอังกฤษ 3 คน ซึ่งได้รับเชิญให้ไปสำรวจถ้ำในอุทยานแห่งชาติฟองญาเคบ่า (Phong Nha Ke Bang National Park) ทางตอนกลางของเวียดนาม โดยฮาวเวิร์ด ลิมเบิร์ต (Howard Limbert) หัวหน้าทีมสำรวจถ้ำที่ทำแผนที่ถ้ำเซินด่องเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2009

โดยนักดำน้ำทั้งสามคน ได้แก่ เจสัน มัลลินสัน (Jason Mallinson), ริก สแตนตัน (Rick Stanton) และคริส จิวเวล (Chris Jewell) เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ช่วยชีวิตทีมฟุตบอลไทยหรือทีมหมูป่าในปี ค.ศ. 2018 ได้รับมอบหมายให้สำรวจเครือข่ายทางน้ำที่กว้างขวางของถ้ำเซินด่อง พวกเขาค้นพบอุโมงค์ที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้ซึ่งเชื่อมโยงไปยังถ้ำขนาดยักษ์อีกแห่งที่เรียกว่า หางทุ่ง (Hang Thung)

ถ้ำเซินด่องนั้นมีความสูงมากกว่า 200 เมตร และสูงถึง 503 เมตร ในบางส่วน มีความกว้าง 175 เมตร และยาวกว่า 9.4 กิโลเมตร ถ้ำเซินด่องถูกบันทึกว่าเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยกินเนสส์บุ๊กเวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) ซึ่งการค้นพบครั้งใหม่นี้เพิ่มปริมาตรน้ำอีก 1.6 ล้านลูกบาศก์เมตร จากที่มีอยู่เดิม 38.5 ล้านลูกบาศก์เมตร

รูปที่ 2. ถ้ำเซินด่อง (อ้างอิง: Lonelyplanet)

ถ้ำเซินด่องถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 โดยโฮ คานห์ (Ho Khanh) คนในท้องถิ่น โดยเขาหลบพายุที่ฐานของหน้าผาขนาดใหญ่ใจกลางป่า ทำให้เขาพบหลุมลึกที่ฐานของหินที่มีช่องที่พัดลมออกมา แต่เขาไม่ได้สำรวจเพิ่มเติมและตำแหน่งของมันก็ถูกลืมไปนานถึง 19 ปี จนกระทั่งเขาค้นพบทางเข้าอีกครั้ง และพาฮาวเวิร์ดและทีมนักประดาน้ำของเขาไปที่นั้น

เราเป็นคนแรกที่เข้าไปในถ้ำ ฮาวเวิร์ดกล่าว ไม่มีหลักฐานว่าในอดีตว่ามีใครอาศัยอยู่ในถ้ำเซินด่องแห่งนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเห็นสิ่งนี้ได้ง่ายในถ้ำ นอกจากนี้ ทางเข้าและทางออกทั้งหมดจะเป็นในแนวดิ่งอย่างน้อย 85 เมตร โดยจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทางเทคนิค และมีการค้นพบขวานหิน (Stone Axe) อายุ 5,000 ปี ซึ่งถูกค้นพบในถ้ำใกล้เคียง ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการสำรวจจากนักสำรวจยุคก่อนประวัติศาสตร์

ถ้ำแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตมากมาย ซึ่งเราได้เห็นลิงที่สามารถปีนลงไป 200 เมตร เพื่อเก็บหอยทากภายในถ้ำ เรายังได้เห็นงูและสัตว์อื่นๆ เช่น กระรอก หนู สุนัขจิ้งจอกบิน รวมถึงนกและค้างคาวด้วย เขาและทีมงานยังได้ค้นพบปลา 7 สายพันธุ์ใหม่ แมงมุม แมงป่อง กุ้ง เหาไม้ และแพลงก์ตอน พวกมันทั้งหมดมีสีขาวล้วนและไม่มีตา ซึ่งเป็นผลตามวิวัฒนาการของการดำรงอยู่ในความมืดสนิท

รูปที่ 3. ถ้ำเซินด่อง (อ้างอิง: Lonelyplanet)

ยังมีอะไรให้ดูอีกมากมายในถ้ำ โดยบางส่วนของถ้ำจะสว่างไสวด้วยหลุมยุบ (Sinkholes) 2 หลุม ที่แสงแดดสามารถส่องลำแสงเข้ามาในถ้ำได้ ภายในความลึกนั้นมีหินงอกหินย้อยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและป่าที่มีต้นไม้สูงถึง 50 เมตร ฮาวเวิร์ดกล่าวว่า คุณสามารถเห็นได้ไกลถึง 1.5 กิโลเมตร แต่ระบบสภาพอากาศของถ้ำเองสามารถสร้างเมฆที่สวยงามตระการตา แต่จะเป็นการลดการมองเห็น

แม้ว่าเขาจะสำรวจถ้ำมาแล้วกว่า 100 ครั้ง แต่ความกระตือรือร้นของฮาวเวิร์ดต่อความงามของถ้ำยังคงไม่ลดลง ไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่ในโลก ฮาวเวิร์ดกล่าว มันไม่ใช่แค่ขนาด แต่ยังมีตำแหน่งที่แปลกตาและน่าทึ่งมากมายภายในถ้ำ เช่น สระว่ายน้ำในความมืด และซากดึกดำบรรพ์อายุ 400 ล้านปี

โดยถ้ำนี้เปิดให้เข้าชม แต่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและจำกัดให้เข้าชมได้ปีละ 1,000 คน ซึ่งทัวร์ทั้งหมดจัดโดยออกซาลิสแอดเวนเจอร์ทัวร์ (Oxalis Adventure Tours) ซึ่งฮาวเวิร์ดเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการด้านเทคนิคร่วมกับเดบ (Deb) ภรรยาของเขา การเยี่ยมชมจะถูกจำกัดซึ่งจะอยู่ในฤดูฝน ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นถ้ำจะไม่สามารถผ่านเข้าไปได้

 

ทางเข้าอุทยานแห่งชาติฟองญาเคบ่าสามารถมาจากเมืองซันแทรช (Son Trach) ซึ่งอยู่ห่างจากดงฮอย (Dong Hoi) ไปทางเหนือ 50 กิโลเมตร มีรถโดยสารประจำทางเชื่อมต่ออยู่ ทัวร์ทั่วไปมีค่าใช้จ่าย 3,000 ดอลลาร์ ซึ่ง 660 ดอลลาร์ เป็นค่าเข้าอุทยานแห่งชาติฟองญาเคบ่า และใช้เวลา 4 วัน ทุกกลุ่มจะจำกัดที่ผู้เข้าชม 10 คนและรวมไกด์ ซึ่งทัวร์ทั้งหมดนำโดยนักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษอย่างน้อยหนึ่งคนที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจครั้งแรก มีผู้ช่วยด้านความปลอดภัย แม่ครัว คนเฝ้าประตู และเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน โดยผู้เยี่ยมชมจำเป็นต้องมีความฟิต แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักสำรวจถ้ำหรือนักปีนเขาที่มีประสบการณ์ แค่มีประสบการณ์การเดินป่ามาบ้างก็เพียงพอแล้ว

อ้างอิง: Lonelyplanet, Guinnessworldrecords

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *