นี่คือ “มดสีเงินซาฮารัน” เป็นมดที่เร็วที่สุดในโลก

การที่จะอาศัยอยู่ในทะเลทรายได้นั้น สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์จำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด

รูปที่ 1. มดสีเงินซาฮารัน (อ้างอิง: Spatialexperiments)

นี่คือมดสีเงินซาฮารัน (Saharan silver ants) เป็นมดที่เร็วที่สุดในโลก ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮาร่าและทางตอนเหนือของแอฟริกา โดยสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงกว่า 50 องศาเซลเซียสได้ เนื่องจากขนตามร่างกายทำหน้าที่เหมือนปริซึมทำให้เกิดการสะท้อนแสงภายในทั้งหมด ตามรายงานของทีมนักฟิสิกส์และนักชีววิทยาในเบลเยียม นักวิจัยพบว่าขนของมดสีเงินซาฮารันช่วยสะท้อนแสงเพิ่มขึ้น 10 เท่า ซึ่งป้องกันไม่ให้ร้อนเกินไปและให้แสงระยิบระยับแก่พวกมัน มดสีเงินซาฮารันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ทนความร้อนได้มากที่สุดในโลก พวกมันสามารถวิ่งไปทั่วผืนทรายในทะเลทรายในตอนเที่ยง ไล่กินซากศพของสัตว์ที่ยอมจำนนต่อความร้อนจัด ความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิที่สูงกว่า 50 °C ทำให้พวกมันสามารถหาอาหารได้ในช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน ในขณะที่สัตว์อื่นๆส่วนใหญ่ รวมทั้งกิ้งก่านักล่าที่กำลังหลบร้อนอยู่

มดสีเงินซาฮารันเป็นมดที่เร็วที่สุดในโลกที่ถูกบันทึกโดยกินเนสส์บุ๊กเวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) โดยพวกมันสามารถทำความเร็วได้ถึง 85.5 เซนติเมตรต่อวินาที หรือ 108 เท่าของความยาวลำตัวของมันเอง พวกมันสามารถก้าวได้มากถึง 47 ก้าวต่อวินาที ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารชีววิทยาเชิงทดลอง (Experimental Biology) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2019

รูปที่ 2. ขนของมดสีเงินซาฮารันที่เป็นปริซึมทำให้เกิดการสะท้อนแสง (อ้างอิง: Spatialexperiments)

นอกจากนี้พวกมันยังเพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูง มดจึงจำกัดเวลาที่พวกมันออกจากรังเพียงไม่กี่นาทีและได้พัฒนาการปรับตัวทางสรีรวิทยาหลายอย่าง เช่น ขาที่ยาวขึ้นและการผลิตโปรตีนช็อกจากความร้อนก่อนที่จะได้รับความร้อน โดยนักวิจัยพบว่าพวกมันมีขนรูปสามเหลี่ยมที่ไม่เหมือนใครซึ่งช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย

ในงานวิจัยโดยเซอร์เก อารอน (Serge Aron) จากมหาวิทยาลัยบรัสเซลส์ฟรี (Université Libre de Bruxelles) ในเบลเยียมและเพื่อนร่วมงาน ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติทางแสงและการควบคุมอุณหภูมิของขนของมด ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พวกเขายืนยันว่าเส้นขนซึ่งปกคลุมส่วนหลังของหัว ทรวงอก และท้องของมดนั้นเป็นรูปสามเหลี่ยมตามภาคตัดขวางจริงๆ พวกเขายังเห็นว่าพื้นผิวด้านบนสองด้านของขนที่หันออกจากตัวมดไปทางดวงอาทิตย์เป็นลอนลูกฟูก โดยมีร่องขนานที่ลากเฉียงไปยังแกนตามยาวของขน ในขณะที่ด้านที่สาม ซึ่งอยู่ใกล้ตัวมดมากที่สุดจะแบนและขนานกับผิวของมด

โดยทีมงานพบว่าเส้นขนสะท้อนแสงเหมือนปริซึม โดยแสงผ่านเข้ามาทางด้านบนของเส้นขนแล้วสะท้อนกลับจากพื้นผิวด้านล่างที่เรียบ สำหรับแสงในสเปกตรัมการมองเห็น การสะท้อนแสงเกือบ 100% สำหรับมุมตกกระทบตั้งแต่ 35° ถึง 90° ในมุมตกกระทบที่เล็กลง แสงจะทะลุผ่านได้ แต่มีแนวโน้มว่าจะถูกสะท้อนโดยเส้นขนอื่นๆที่อยู่ข้างใต้ ตามข้อมูลของทีมวิจัย เอฟเฟ็กต์ที่เหมือนกระจกนี้ทำให้มดที่มีสีเงินเงาและลดการดูดซับความร้อนจากแสงแดดช่องว่างระหว่างลอนที่อยู่ติดกัน ที่จะทำให้เกิดการเลี้ยวเบนของแสง นักวิจัยคำนวณว่าขนจะค่อยๆเพิ่มดัชนีการหักเหของแสงเมื่อเข้าสู่เส้นขนจะลดปริมาณแสงที่สะท้อนจากพื้นผิวด้านบนของเส้นขน โดยรอยลอนจะเพิ่มปริมาณแสงที่เข้าสู่เส้นขนแต่ละเส้นและปริมาณแสงที่ออกจากเส้นขนหลังจากการสะท้อนภายในทั้งหมด เซอร์เกอธิบาย โดยรวมแล้วพวกมันช่วยเพิ่มการสะท้อนแสง

เมื่อนักวิจัยเปรียบเทียบมดที่ถูกโกนขนกับมดปกติ พวกเขาพบว่าขนมีการสะท้อนแสงเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า เพื่อทดสอบว่าสิ่งนี้ส่งผลต่ออุณหภูมิร่างกายอย่างไร นักวิจัยได้ใส่เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิตอลเข้าไปในช่องท้องของมดที่ตายแล้ว เมื่อนำพวกมันไปสัมผัสกับแสงแดดจำลองช่วงเที่ยงของฤดูร้อนที่ทะเลทรายซาฮารา พวกเขาพบว่าภายใน 90 วินาที อุณหภูมิภายในร่างกายของมดมีขนนั้นเย็นกว่ามดที่โกนขนถึง 2°C เซอร์เกกล่าวว่า ถ้าพวกมันมีขนทรงกระบอกแทนที่จะเป็นขนสามเหลี่ยม จะทำให้มดทนความร้อนไม่ได้ ผลที่ตามมาคือ มดจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในทะเลทรายหรือจะต้องเปลี่ยนวงจรชีวิตของพวกมัน เช่น หาอาหารในตอนเช้าตรู่หรือตอนเย็น เมื่ออุณหภูมิของอากาศและพื้นดินต่ำลง เช่นเดียวกับสัตว์ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสภาพทะเลทราย

อ้างอิง: Physicsworld, Guinnessworldrecords

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *