นี่คือ “ปลานกแก้ว” เจ้าหน้าที่ดูแลปะการังและผลิตทราย

ถ้าพูดถึงทะเลหลายคนคงจะนึกถึงชายหาดและคลื่นน้ำกระทบฝั่ง การว่ายน้ำหรือจะเป็นการดำน้ำดูสัตว์น้ำและปะการัง ซึ่งแนวปะการังเหล่านี้จะมีสัตว์น้ำที่ทำหน้าที่คอยฟื้นฟูและช่วยกำจัดสาหร่ายทำให้แนวปะการังยังคงมีความสวยงาม

รูปที่ 1.  ปลานกแก้ว (อ้างอิง: Canva )

นี่คือปลานกแก้ว (Parrotfish) เป็นสัตว์น้ำเขตร้อนที่มีสีสันสวยที่ใช้เวลาประมาณ 90% ของวันในการกินสาหร่ายตามแนวปะการัง ซึ่งการทำความสะอาดแนวปะการังนี้จะช่วยให้ปะการังมีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี

ปลานกแก้วนั้นสามารถแทะเล็มตามแนวปะการังได้ในอัตราที่น่าประหลาดใจที่ 20 ครั้งต่อนาที ซึ่งจะช่วยควบคุมจำนวนสาหร่ายและสร้างพื้นผิวใหม่สำหรับปะการังทารกที่จะเกาะติดและเติบโตขึ้น ซึ่งเป็นเศษซากต่างๆจะย่อยสลายเป็นทรายสีขาว โดยกระบวนการนี้เรียกว่าการกัดเซาะทางชีวภาพ  นักวิทยาศาสตร์คิดว่าอุจจาระของปลานกแก้วมีส่วนทำให้เกิดทรายตามแนวปะการังส่วนใหญ่และยังช่วยสร้างเกาะตามแนวปะการังอีกด้วย คาดว่าปลานกแก้วตัวเดียวสามารถผลิตทรายได้มากถึง 90 กิโลกรัมในแต่ละปี

ฟันของปลานกแก้วนั้นแข็งกว่าโลหะหลายชนิด เมื่อฟังเสียงใต้น้ำและคุณอาจได้ยินเสียงปลานกแก้วเคี้ยวกรุบกรอบอันเป็นเอกลักษณ์ขณะเคี้ยวปะการัง และการวิจัยชี้ให้เห็นว่าพวกมันยังกินแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในปะการังด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ฟันที่แข็งก็ต้องใช้อาหารที่มีแคลเซียม-คาร์บอเนต ฟันที่น่าทึ่งของพวกมันถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระดูกขากรรไกรของพวกมัน ซึ่งโครงสร้างผลึกของฟันของพวกมันแข็งแกร่งมาก สามารถกัดทองคำ ทองแดง และเงินได้ในการทดสอบการแตกหัก

รูปที่ 2.  ปลานกแก้วสร้างรังโปร่งใสที่ทำจากเมือก (อ้างอิง: Barrierreef)

ปลานกแก้วอาศัยอยู่ตามแนวปะการังทั่วโลก แต่โดยทั่วไปแล้วพวกมันทั้งหมดมีอายุประมาณ 5-7 ปี และเติบโตได้ยาวถึง 30-120 เซนติเมตร พวกมันมักจะกินอาหารในตอนกลางวันและนอนหลับในตอนกลางคืนโดยปลานกแก้วบางสายพันธุ์จะสร้างรังโปร่งใสที่ทำจากเมือกที่หลั่งจากต่อมพิเศษในเหงือกของพวกมัน ไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกมันปลอดภัยจากการกัดของตัวเรือด เช่น ไอโซพอดที่เป็นกาฝากในขณะที่ปลานอนหลับ และยังกลบกลิ่นของพวกมันจากสัตว์กินเนื้อในตอนกลางคืน เช่น ปลาไหลมอเรย์และฉลาม

ปลานกแก้วเป็นปลาที่สามารถเปลี่ยนสีและเปลี่ยนเพศได้ตลอดชีวิต ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากเพศหญิงเป็นเพศชายเมื่อโตขึ้น ตัวผู้จะมีสีสดใสตัวใหญ่และจะมีตัวหนึ่งที่เป็นจ่าฝูงที่จะคอยปกป้องตัวเมียที่ตัวเล็กกว่า แต่เมื่อโตขึ้นตัวเมียมักจะเปลี่ยนเพศและท้าทายตัวผู้ตัวอื่นๆและทุกครั้งที่ทำ สีของพวกมันก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

แนวปะการังต้องเผชิญกับภัยคุกคามมากมาย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกร้อน มลภาวะ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่รุกราน การฟื้นฟูและเพิ่มจำนวนประชากรปลานกแก้ว สัตว์น้ำกินพืชที่คอยช่วยดูแลสาหร่ายตามแนวปะการังนั้น ซึ่งส่งผลสำหรับการฟื้นฟูแนวปะการังเพราะถ้าไม่ใช่ปลานกแก้ว ปะการังก็ขาดอากาศหายใจอย่างรวดเร็วโดยสาหร่ายตามแนวปะการังหลายแห่งทั่วโลก

ในแปซิฟิกใต้นั้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการจับปลานกแก้วหัวกระแทก (Bumphead Parrotfish) มากเกินไป ปลานกแก้วหัวกระแทกมีนิสัยที่อยู่รวมกันตามธรรมชาติในน้ำตื้น ซึ่งชาวประมงสามารถค้นหาและจับพวกมันได้หลายสิบตัวในคราวเดียว ปลานกแก้วถือเป็นอาหารอันโอชะในหลายประเทศและยังสามารถขายในต่างประเทศได้ด้วยการปลอมแปลงเนื้อเป็นปลาเก๋าซึ่งมีความต้องการสูง ด้วยเหตุนี้เองปลานกแก้วหัวกระแทกจึงสูญพันธุ์ในกวมและสูญพันธุ์ไปอย่างมากในฟิจิ ซามัว ปาปัวนิวกินี และส่วนอื่นๆของหมู่เกาะโซโลมอน องค์กรการอนุรักษ์ธรรมชาติ (The Nature Conservancy) กำลังแก้ไขปัญหาด้วยการร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงผลที่ตามมาจากการกินปลานกแก้ว

ส่วนในประเทศไทยนั้นกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีกฎหมายห้ามจับหรือกระทำการใดๆ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมีการรณรงค์ปลูกฝังให้ทุกคนร่วมกัน ไม่สนับสนุนหรือซื้อหรือรับประทานปลานกแก้วเพื่อให้มีธรรมชาติ สัตว์น้ำและปะการังยังคงอยู่ให้เห็นในอนาคต

อ้างอิง: Nature, Barrierreef, Dmcr

One comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *