นี่คือ”นกพิราบนิโคบาร์หรือนกชาปีไหน” ที่มีสีสวยและค่อนข้างหายาก

นกพิราบนิโคบาร์ (Nicobar Pigeon) หรือในไทยเรียกว่า นกชาปีไหน หรือ นกกะดง พบได้บนเกาะเล็กๆ และบริเวณชายฝั่งตั้งแต่หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ประเทศอินเดีย ทางตะวันออกผ่านหมู่เกาะมาเลย์ ไปจนถึงหมู่เกาะโซโลมอนและปาเลา เป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในสกุลคาโลนาส (Caloenas) และอาจเป็นญาติสนิทที่สุดของโดโด (Dodo) ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และโรดริเกซโซลิแทร์ (Rodrigues Solitaire) ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

รูปที่ 1. นกพิราบนิโคบาร์ (อ้างอิง: Canva)

มีลักษณะเป็นนกพิราบขนาดใหญ่ ยาว 40 เซนติเมตร หัวมีสีเทาเหมือนขนนกที่คอด้านบนซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวและทองแดง หางสั้นมากและขาวบริสุทธิ์ ขนนกที่เหลือเป็นสีเขียวเมทัลลิก มีขนบริเวณที่คอยาวออกมาเป็นเหมือนกับสร้อยคอ ขาและเท้าที่แข็งแรงเป็นสีแดงหม่น มีม่านตามีสีเข้ม ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่า ตัวผู้มีสีสันสวยงามเพื่อไว้ดึงดูดตัวเมีย พวกมันมักจะเดินหากินตามพื้น

นกพิราบนิโคบาร์ขยายพันธุ์ครอบคลุมหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเดียวกันกับนกชนิดนี้ ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ห่างไกลระหว่างคาร์นิโคบาร์และเทเรสซา ในปี ค.ศ. 2004 ได้เกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อหมู่เกาะนิโคบาร์เป็นอย่างมาก พบในหมู่เกาะแมร์กุยของเมียนมาร์ ส่วนในประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นนกที่ค่อนข้างหาได้ยากมากชนิดหนึ่ง โดยจะถิ่นที่อาศัยอยู่ในป่าที่เกาะนอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ เช่น หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะอ่างทอง หมู่เกาะสุรินทร์และอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณีเท่านั้น อีกทั้งยังพบในคาบสมุทรมาเลเซีย กัมพูชาตอนใต้และเวียดนาม และเกาะเล็กๆ ระหว่างสุมาตรา ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะโซโลมอน และบนปาเลามีชนิดย่อยที่แตกต่างกันไป

รูปที่ 2. นกพิราบนิโคบาร์หางสีขาวและพื้นที่ที่พบในไทย (อ้างอิง: Canva, Thainationalparks)

นกพิราบนิโคบาร์มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงซึ่งจะบินจากเกาะหนึ่งไปอีกเกาะหนึ่ง มักจะนอนอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยนอกชายฝั่งที่ไม่มีผู้ล่าเกิดขึ้น และใช้เวลาทั้งวันในพื้นที่ที่มีอาหารที่ดีกว่า และไม่หลบเลี่ยงพื้นที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ อาหารที่กินจะประกอบด้วยเมล็ดพืช ผลไม้ และมีหินกึ๋นที่ใช้บดอาหาร พวกมันสามารถบินได้ค่อนข้างเร็ว ตามลักษณะเฉพาะของนกพิราบทั่วไป แต่จะต่างจากนกพิราบอื่นๆที่มักจะบินไม่อยู่ในฝูง หางสีขาวจะโดดเด่นเมื่อบินและมองจากด้านหลัง โดยทำหน้าที่เป็นไฟท้าย การที่ไม่มีหางสีขาวของนกหนุ่มเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความยังไม่โตเต็มวัยของพวกมัน จะเห็นได้ชัดเจนในทันทีว่าฝูงนกตัวใดไม่ใช่คู่ผสมพันธุ์ที่มีแนวโน้มจะเป็นคู่กัน หรืออาจเป็นคู่แข่งกันสำหรับคู่ผสมพันธุ์ หรืออายุมากพอที่จะสามารถนำฝูงจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่ง

โดยปกติมักจะทำรังอยู่ในป่าทึบบนเกาะเล็กเกาะน้อยนอกชายฝั่ง มักอยู่ในอาณานิคมขนาดใหญ่ มันสร้างรังไม้หลวมๆบนต้นไม้ โดยใช้กิ่งไม้ วางไข่ขาวอมน้ำเงินจางๆเป็นรูปวงรี 1 ฟอง มีขนาด 31.64×45 มิลลิเมตร น้ำหนัก 25.05 กรัม โดยจะช่วยกันฟักไข่ประมาณ 25-29 วัน และเลี้ยงดูลูกนกจนมีอายุได้ 34-36 วัน ลูกนกจึงจะออกจากรังและหากินเองได้

รูปที่ 3. นกพิราบนิโคบาร์บนรัง (อ้างอิง: Canva)

นกพิราบนิโคบาร์ถูกล่าเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นอาหารและสำหรับหินกึ๋นซึ่งใช้ในเครื่องประดับ โดยมีอยู่ในตลาดสัตว์เลี้ยงในท้องถิ่น แต่เนื่องจากการค้าดังกล่าวมักผิดกฎหมายในระดับสากลและในประเทศไทยเองก็ถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ตาม ที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ของรังลดน้อยลง เกาะเล็กเกาะน้อยนอกชายฝั่งที่ต้องการมักจะถูกบันทึกเพื่อทำสวน จากการก่อสร้างหรือมลพิษจากอุตสาหกรรมหรือท่าเรือในบริเวณใกล้เคียง

นอกจากนี้ การเดินทางที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ล่าได้รู้จักแหล่งเพาะพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆและอาณานิคมของนกพิราบนิโคบาร์อาจถูกขับไล่ไปยังที่อื่น แม้ว่านกจะกระจายอยู่ทั่วไปและในบางพื้นที่ก็พบเห็นได้ทั่วไป แม้กระทั่งในปาเลาตัวเล็กๆก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร โดยมีจำนวนนกที่โตเต็มวัยประมาณ 1,000 ตัว อนาคตระยะยาวของนกชนิดนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 แต่ยังไงก็จำเป็นที่จะต้องดูแลและคุ้มครองเพื่อให้พวกมันมีชีวิตรอดและไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้

อ้างอิง: Thainationalparks, Wikipedia

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *