รู้จักกับน้ำตาลชนิดใหม่ที่ดีต่อ “ระบบย่อย”(อาหาร) ในลำไส้

ในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม และสิ่งที่ผู้คนมักจะหลีกเลี่ยงนั่นคือน้ำตาล เนื่องจากการที่เราบริโภคน้ำตาลมากเกินไปนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย  แต่รสชาติที่ยอดเยี่ยมและเมื่อกินเข้าไปแล้วจะรู้สึกสดชื่นของมันนั้นทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง เช่น เครื่องดื่มยอดนิยมอย่างน้ำอัดลม 1 กระป๋อง นั้นจะมีปริมาณน้ำตาลมากถึง 10 ช้อนชา ซึ่งมากกว่า 80% ของปริมาณที่ควรบริโภคต่อวัน

นักวิทยาศาสตร์ก็มีตัวเลือกที่เป็นสารให้ความหวานเทียมที่ไม่มีแคลอรี เช่น ขัณฑสกร (Saccharin) แอสปาแตม (Aspartame) ที่สามารถให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลได้หลายร้อยเท่า แต่แอสปาร์แตมนั้นทำให้ร่างกายมีปริมาณการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดความอยากน้ำตาลมากยิ่งขึ้น ทำให้กลับไปหาน้ำตาลเหมือนเดิม แล้วยังมีความอยากอาหารมากกว่าเดิมอีกด้วย หรือ ซูคราโลส (Sucralose) เป็นสารให้ความหวานที่ดี ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรือระดับอินซูลิน และไม่ทำให้ฟันผุ เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน แต่รสชาติก็ยังไม่ได้เหมือนน้ำตาลมากนัก

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การอาหารและสถาบันเคมีเชิงกายภาพ (The Institute of Food Science Research and the Institute of Physical Chemistry) ในสเปน จึงสนใจที่จะพัฒนาน้ำตาลชนิดใหม่ที่เป็นสารให้ความหวานที่ดีกว่าน้ำตาลแบบเดิมหรือสารให้ความหวานเทียม

นักวิจัยได้เลือกสารให้ความหวาน 2 ชนิด ที่คิดว่าน่าจะมีความลงตัว โดยตัวแรกคือ กาแลคโตลิโกแซ็กคาไรด์ (Galactooligosaccharides) ซึ่งเป็นน้ำตาลแคลอรีต่ำที่พบในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเหล่านี้ช่วยกระตุ้นโปรไบโอติก (Probiotic) ที่เป็นกลุ่มแบคทีเรียที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารและเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ที่พบอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ แต่รสชาติของมันไม่หวานเหมือนน้ำตาลเลย

อีกตัวเลือกหนึ่งคือสารสกัดจากหล่อฮั้งก้วย (Luo Han Guo) ซึ่งเป็นผลไม้ทรงกลมขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศจีน โดยมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า มังค์ฟรุต (Monk Fruit) เพราะสมัยก่อนมีการเพาะปลูกโดยพระภิกษุตามประเพณี ซึ่งมีสารให้ความหวานคือโมโกรไซด์ (Mogrosides) ที่ไม่แคลอรีและไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยสารให้ความหวานนี้มีความหวานมากกว่าซูโครสถึง 350 เท่า และได้รับการยอมรับในหลายๆประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา โดยองค์การอาหารและยา (FDA) กำหนดให้สารที่ให้ความหวานนี้มีความปลอดภัย (GRAS) ในปี ค.ศ. 2010

นักวิจัยชาวสเปนได้พยายามพัฒนาผสมผสานสารให้ความหวานทั้งสองชนิดนี้ โดยเพิ่มเบต้า-กาแลคโตซิเดส (β-galactosidase) เพื่อปรับเปลี่ยนรสชาติของโมโกรไซด์และผลิตกาแลคโตลิโกแซ็กคาไรด์ในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ น้ำตาลชนิดใหม่ที่เป็นสารให้ความหวานแบบแคลอรีต่ำและช่วยในระบบการย่อยอาหารหรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีความหวานเทียบได้กับน้ำตาลที่อาจจะเป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคในอนาคต

การวิจัยในหลอดทดลองกับแบคทีเรีย นักวิจัยพบว่าน้ำตาลชนิดใหม่นี้ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) และแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ช่วยในระบบการย่อยอาหารหรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน  นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของสารที่มีประโยชน์ของแบคทีเรีย เช่น อะซิเตต (Acetate) โพรพิโอเนต (Propionate) และบิวทีเรต (Butyrate) ส่วนผสมนี้จะมีประโยชน์ต่อพรีไบโอติก (Prebiotic)ที่มีผลต่อไมโครไบโอม (Microbiome) ในลำไส้ที่ช่วยในระบบย่อยและดูดซึมสารอาหาร ช่วยสร้างวิตามิน ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สิ่งที่ต้องทำการวิจัยต่อไปคือ การทดลองเพื่อตรวจสอบผลกระทบของสารที่มีต่อลำไส้ของมนุษย์ ว่ามีอันตรายหรือผลกระทบอย่างไรบ้าง ทำให้บริษัทเครื่องดื่มหลายๆบริษัทต่างจับตามองน้ำตาลชนิดใหม่นี้

สารตั้งต้นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสารให้ความหวานพรีไบโอติกที่เป็นตัวเลือกใหม่ โดยคาดการณ์ถึงแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นนวัตกรรมใหม่ โดยเป้าหมายคือการลดปริมาณซูโครสในอาหาร และหวังว่าน้ำตาลชนิดใหม่ที่เป็นสารให้ความหวานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ผู้เขียนในวารสารเคมีเกษตรและอาหาร (The Journal of Agricultural and Food Chemistry) กล่าว

อ้างอิง: Zmescience

เรื่องที่คุณอาจจะสนใจ

นี่คือการศึกษาการค้นหา “รูหนอน” จากการที่แสงบิดงอได้เหมือนกับหลุมดำ

Feb 26, 20233 min read

นี่คือปรากฏการณ์ “น้ำตก”(พลาสมา) ที่มีความสูงถึง 100,000 กิโลเมตร

Mar 16, 20233 min read

นี่คือระบบ “จอดรถ”(อัตโนมัติ) ในอดีตโดยการเพิ่มล้อรถ

Nov 9, 20224 min read

• Previous
• 1
• …
• 1
• 2
• 3
• …
• 22
• Next