เมื่อเรามองขึ้นไปบนฟ้าในตอนกลางวันก็มักจะเห็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าและมีรูปร่างแตกต่างกันไป
รูปที่ 1. เมฆแมมมาทัส (อ้างอิง: Science.howstuffworks)
นี่คือเมฆแมมมาทัส (Mammatus Clouds) เป็นเมฆที่แปลกประหลาดที่ก่อตัวบนท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนกลุ่มก้อนกระจุกที่ห้อยอยู่ใต้ก้อนเมฆขนาดใหญ่หรือเหมือนกับบับเบิลกันกระแทกและบางครั้งอาจห้อยลงมาเหมือนเต้านมของวัว ซึ่งอันที่จริงแล้ว คำว่าแมมมาทัสมาจากคำว่า แมมมา (Mamma) ในภาษาละติน ซึ่งแปลว่า เต้านม
แน่นอนว่าเมฆก่อตัวขึ้นตามสภาพทางอากาศ และบ่อยครั้งเมฆก็อยู่ได้ไม่นานนักเพราะมีเมฆมากมายลอยขึ้นบนท้องฟ้าตลอดเวลา เมฆแมมมาทัสถูกสร้างขึ้นภายใต้สภาพอากาศที่แปรปรวน พวกมันมักจะก่อตัวที่ด้านล่างของเมฆพายุ และแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะยังไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดจึงก่อตัวขึ้นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็มีความคิดดีๆอยู่บ้าง
รูปที่ 2. เมฆแมมมาทัส (อ้างอิง: Weather)
ซึ่งแตกต่างจากเมฆส่วนใหญ่ซึ่งก่อตัวขึ้นเนื่องจากอากาศที่อุณหภูมิสูงขึ้น แต่เมฆแมมมาทัสเป็นผลมาจากอากาศที่อุณหภูมิต่ำลง ส่วนใหญ่มักก่อตัวขึ้นร่วมกับเมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus clouds) ขนาดใหญ่ ซึ่งมีหลายสิ่งที่อยู่ภายใน แนวคิดหนึ่งเกี่ยวกับการก่อตัวของเมฆแมมมาทัสคือสภาวะใต้เมฆพายุนั้นวุ่นวายมากจนมีอากาศแห้งและเปียกอุ่นในอัตราที่ต่างกันเล็กน้อย และสร้างลักษณะเป็นก้อนที่ด้านล่างของเมฆ
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ การก่อตัวของเมฆแมมมาทัสเกี่ยวข้องกับการระเหิดมากกว่า ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อน้ำแข็งกลายเป็นไอน้ำ โดยข้ามรูปแบบของเหลวไปโดยสิ้นเชิง ทฤษฎีนี้ยืนยันว่าผลึกน้ำแข็งภายในก้อนเมฆกลายเป็นไอและทำให้อากาศรอบตัวเย็นลง อากาศเย็นและหนาแน่นขึ้น อากาศเริ่มอุณหภูมิต่ำลง ทำให้เกิดถุงที่ด้านล่างของก้อนเมฆ
รูปที่ 3. เมฆแมมมาทัส (อ้างอิง: Science.howstuffworks)
แม้ว่าเมฆแมมมาทัสจะมีชื่อเสียงว่าเป็นตัวการของพายุทอร์นาโดและพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป แม้ว่าพวกมันมักจะเกี่ยวข้องกับเมฆคิวมูโลนิมบัส ซึ่งเป็นมวลขนาดใหญ่ในอากาศที่ไม่เสถียร แต่เมฆแมมมาทัสสามารถก่อตัวในเมฆประเภทอื่นได้เป็นครั้งคราว เช่น สเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus) อัลโทสตราตัส (Altostratus) และอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus) อีกด้วย
อ้างอิง: Science.howstuffworks
