รู้ป่าว! นักโทษในสมัยก่อนกิน “กุ้งล็อบสเตอร์” เป็นอาหาร

ในปัจจุบันถ้าพูดถึงอาหารทะเลจานหรูเชื่อว่าหลายคนอาจจะนึกถึงกุ้งล็อบสเตอร์ (Lobster) กุ้งที่มีขนาดใหญ่ในเมนูอาหารทะเล ด้วยรสชาติที่แสนยอดเยี่ยมทำให้คนทั่วโลกต่างยอมรับกับความอร่อยนี้ แต่ใครจะเชื่อว่าในสมัยก่อนนั้นพวกมันเคยเป็นอาหารสำหรับนักโทษมาก่อน

กุ้งล็อบสเตอร์กับกุ้งมังกรนั้นเป็นสัตว์ทะเลคนละชนิดกัน ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดอยู่เสมอ โดยล็อบสเตอร์มีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งสีของพวกมันมีทั้งสีเขียว สีเหลือง สีขาว สีฟ้า และสีดำน้ำตาล กุ้งล็อบสเตอร์นั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ถ้าเทียบกับกุ้งทั่วไป โดยกุ้งล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ค (Guinness Book of World Records) มีน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม ที่ถูกจับได้ในโนวาสโกเซีย ประเทศแคนนาดา กุ้งล็อบสเตอร์นั้นมีอายุขัยค่อนข้างยืนยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ซึ่งในปัจจุบันอาจจะมีราคาประมาณ 1300-1800 บาทต่อกิโลกรัม

กุ้งล็อบสเตอร์เป็นอาหารยอดเยี่ยมที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ที่ประกอบไปด้วย โปรตีน (Protein) โคลีน (Choline) และวิตามิน (Vitamins) ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ (A),บีห้า (B5),บีเก้า (B9),อี (E),พีพี (PP) และวิตามินต่างๆ ซึ่งกุ้งล็อบสเตอร์นั้นยังมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์มากมาย เช่น สังกะสี (Zinc), โพแทสเซียม (Potassium), แมกนีเซียม, (Magnesium), ซีลีเนียม (Selenium), ฟอสฟอรัส (Phosphorus), ทองแดง (Copper), โซเดียม (Sodium) และแคลเซียม (Calcium) ซึ่งกุ้งล็อบสเตอร์นั้นมีไขมันและคอเลสเตอรอลเพียงเล็กน้อยโดยจะมีแคลอรีต่ำ 100 แคลอรีต่อ 100 กรัม

เนื่องจากองค์ประกอบของวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ทำให้ช่วยป้องกันมะเร็งอีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเม็ดเลือด เช่นเดียวกับการทำงานและการเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้การกินเนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ยังช่วยลดความดันโลหิตและยังส่งผลดีต่อระบบประสาทของมนุษย์อีกด้วย

ในศตวรรษที่ 17 และ 18 กุ้งล็อบสเตอร์สามารถพบได้ทั่วไปในนิวอิงแลนด์ (New England) ซึ่งพบได้เป็นจำนวนมากและพวกมันยังถูกเรียกว่า แมลงสาบทะเล (Sea Cockroaches) เพราะมีจำนวนมากอีกทั้งรูปร่างที่มีเปลือกคล้ายกับลักษณะของแมลงสาบอีกด้วย โดยผู้คนจะกินพวกมันเฉพาะในกรณีที่หิวมากเท่านั้น คำว่ากุ้งล็อบสเตอร์นั้นมาจากภาษาอังกฤษโบราณที่แปลว่า แมงมุม

ในสมัยก่อนนั้นกุ้งล็อบสเตอร์เคยถูกนำมาเป็นอาหารให้นักโทษ ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นอาหารสำหรับทาส คนรับใช้ คนจน และทหารอีกด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีราคาที่ถูกมากจนบางครั้งก็นำมาใช้เป็นอาหารปศุสัตว์ ในช่วงตอนต้นศตวรรษที่ 18 มีการเรียกร้องให้เรือนจำในเมืองแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) นำกุ้งล็อบสเตอร์มาเป็นอาหารให้นักโทษไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีการนำกุ้งล็อบสเตอร์มาเป็นอาหารบ่อยครั้งจนเกินไปจึงคิดว่าอาจจะเป็นผลเสียแก่นักโทษ จึงไม่น่าแปลกใจที่กุ้งล็อบสเตอร์จะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาเป็นเวลานาน

ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 กุ้งล็อบสเตอร์นั้นถูกนำมาทำเป็นอาหารแมว โดยการต้มแล้วจึงนำเนื้อที่ได้มาใส่เกลือหรือบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง กุ้งล็อบสเตอร์เริ่มเป็นที่นิยมและต้องการมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการพัฒนาเมือง การสร้างทางรถไฟเชื่อมโยงศูนย์กลางเมืองกับชายฝั่ง

อีกทั้งผู้คนเริ่มเรียนรู้ที่จะถนอมอาหาร ในปี ค.ศ. 1825 เช่น วิธีการถนอมปลาแซลมอน หอยนางรม และกุ้งล็อบสเตอร์ในกระป๋องที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา และยังมีการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มคึกคัก เนื่องจากตามชายฝั่งของบอสตันมีกุ้งล็อบสเตอร์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ได้รับความนิยมจากชาวนิวยอร์กและวอชิงตัน พวกเขาสามารถกินกุ้งล็อบสเตอร์ได้ในราคาถูก

ดังนั้นกุ้งล็อบสเตอร์ก็กลายเป็นสินค้าที่นิยมทีเล็กทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไปกุ้งล็อบสเตอร์ก็มีความต้องการสูงขึ้นแต่จำนวนในธรรมชาติกลับลดลง ทำให้ราคาค่อยๆแพงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นกุ้งล็อบสเตอร์เริ่มเสิร์ฟให้กับขุนนางในยุโรปและกลายเป็นอาหารทะเลที่แพงที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบัน

เนื่องจากกุ้งล็อบสเตอร์เป็นอาหารที่เน่าเสียง่ายและอายุการเก็บรักษานานน้อยกว่าสองวัน จึงไม่แนะนำให้ซื้ออาหารทะเลที่ยังไม่แช่แข็งหรือปอกเปลือกแล้ว เพราะว่าหากไม่มีเปลือกกุ้ง เนื้อจะแห้งและสูญเสียรสชาติที่อร่อยไป ซึ่งสามารถดูได้เปลือกกุ้ง ถ้ามีจุดด่างดำแสดงว่ากุ้งล็อบสเตอร์นั้นไม่สด

อ้างอิง: Itsfoodtastic

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *