นี่คือค้างคาว “จิ้งจอกบินมงกุฎทอง”(ยักษ์) ที่ใหญ่สุดในโลก

ถ้าพูดถึงสัตว์ในหนังสยองขวัญนั้นมักจะมีฝูงค้างคาวบินไปมาและส่งเสียงแหลมๆหรืออย่างหนังผีสุดคลาสสิกอย่างแดรกคิวลาที่สามารถแปลงตัวเป็นค้างคาวเพื่อไปดูดเลือดผู้คน ทำให้ค้างคาวนั้นมีชื่อเสียงเรื่องความน่ากลัวเกี่ยวกับการดูดเลือด แต่ความจริงแล้วนั้นมีค้างคาวเพียงไม่กี่ชนิดที่กินเลือดเป็นอาหารและเมื่อไม่นานมานี้มีภาพที่เป็นไวรัล (Viral Images) ที่เป็นรูปของค้างคาวขนาดใหญ่ยักษ์ที่เกาะอยู่บนคานห้อยหัวนอนหลับอยู่ในเวลากลางวัน ทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียต่างตกตะลึงจนแทบไม่เชื่อ

ค้างคาวจิ้งจอกบินมงกุฎทองยักษ์ (The Giant Golden-Crowned Flying Fox: Aerodon Jubatus) เป็นค้างคาวสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ถึงแม้ว่าจะพบค้างคาวจิ้งจอกบินที่อาศัยอยู่ใน เอเชีย แอฟริกา และออสเตรเลีย แต่ค้างคาวจิ้งจอกบินมงกุฎทองยักษ์นั้นจะสามารถพบได้เฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์เท่านั้น โดยขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยได้รับการบันทึกไว้ ซึ่งเมื่อกางปีกออกจะมีความกว้างถึง 167.64 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 1.18 กิโลกรัม

แม้ว่าปีกของมันจะกว้างแต่ลำตัวของมันนั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก โดยมีขนาดตั้งแต่ 17.78 ถึง 28.96 เซนติเมตร ด้วยปีกที่ยาวขนาดนี้อาจจะทำให้ดูน่ากลัว แต่พวกมันก็กินเพียงผลไม้เท่านั้นเพราะมีค้างคาวเพียง 3 ชนิด ที่กินเลือดเป็นอาหารจากค้างคาวทั้งหมด 1,300 ชนิด  โดยค้างคาวจิ้งจอกบินมงกุฎทองยักษ์นี้มักจะออกหาอาหารในตอนกลางคืน เพื่อหาอะไรกินตั้งแต่ผลมะเดื่อ (Figs) ไปจนถึงใบไทร (Ficus leaves) ซึ่งพวกมันจะกินอาหารประมาณหนึ่งในสามของน้ำหนักตัวในทุกๆคืนและในระหว่างวันพวกมันมักจะนอนหลับพักผ่อนห้อยหัวอยู่บนยอดไม้กับฝูงขนาดใหญ่ที่อาจจะมีสมาชิกได้มากถึง 10,000 ตัว

ค้างคาวเหล่านี้ค่อนข้างฉลาดเทียบได้กับสุนัข ในการศึกษาหนึ่งพบว่าหากได้รับการฝึกฝนให้ดึงคันโยกเพื่อรับอาหาร พวกมันนั้นก็สามารถจดจำและทำได้ และค้างคาวชนิดนี้จะไม่เหมือนกับค้างคาวชนิดอื่นที่ใช้เสียงสะท้อน (Echolocation) ในการนำทาง โดยมันจะใช้สายตาและประสาทสัมผัสทางการดมกลิ่นเพื่อบินไปบนท้องฟ้า ซึ่งค้างคาวเหล่านี้จะช่วยขยายพันธุ์พืชที่พวกมันกินเข้าไปจากการอุจจาระไปทั่วป่า โดยสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในฟิลิปปินส์

ที่น่าแปลกก็คือ ค้างคาวเหล่านี้ค่อนข้างไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แต่กับเป็นมนุษย์เองที่บุกรุกล้ำเขตและตัดต้นไม้ทำลายป่าที่เป็นอันตรายโดยตรงต่อสายพันธุ์ เนื่องจากการทำลายถิ่นที่อยู่ของมันและการไล่ล่าเพื่อหากำไรนั้น ทำให้ค้างคาวชนิดนี้กลายเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ จำนวนที่ลดน้อยลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการอยู่รอดของพวกมันกำลังถูกคุกคาม ตามรายงานสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (The International Union for Conservation of Nature: IUCN) ระบุว่าค้างคาวชนิดนี้มีประชากรลดลงมากถึง 50% ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 ถึง ค.ศ. 2016

แต่ก็มีองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรหลายแห่งที่มีภารกิจเพื่อควบคุมปัญหานี้ เช่น องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ค้างคาว (Bat Conservation International) ที่ทำงานร่วมกันกับองค์กรพัฒนาเอกชนของฟิลิปปินส์ (Filipino non-governmental organizations: NGOs) ซึ่งองค์กรทั้งสองแห่งนี้ได้รับความช่วยเหลือโดยตรงจากหน่วยงานรัฐบาล

แม้ว่าค้างคาวชนิดนี้จะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายพระราชบัญญัติการอนุรักษ์และคุ้มครองทรัพยากรสัตว์ป่าของฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 2001 แต่กฎหมายนี้ก็ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวด ทำให้การบุกรุกที่อยู่อาศัยและการล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมายนั้นยังมีให้เห็น

ในท้ายที่สุด ก็มีโครงการเพาะพันธุ์เพื่อพยายามรักษาจำนวนประชากรของพวกมันไว้ แต่สิ่งเหล่านี้จะเพียงพอต่อการอนุรักษ์หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการต่อต้านและปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการบุกรุกที่อยู่อาศัยและการล่าสัตว์ ก็หวังว่าผู้คนจะคิดและสำนึกได้ก่อนที่ค้างคาวชนิดนี้จะสูญพันธุ์หมดไป

อ้างอิง: Allthatsinteresting

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *